เวลาใช้เสียงจริง ๆ สัญญาณมาจากหลายแหล่ง กระเดื่อง กีตาร์ เบส สะแน คีบอร์ด เครื่องเป่า ฯลฯ ถ้าปรับมิกเซอร์ ทุกช่อง 0 dB หมด เสียงจะออกมาดีใหม หรือ ออกมาเหมือน กลองยาว ผมว่าการปรับมันเสียงสำคัญตั้งแต่ต้นทาง จนไปถึงเครื่องขยายเสียง ทางที่ดีเครื่องขยายเสียงควรเป็นยี่ห้อเดียวกันทุกตัว เพราะอัตราการขยายจะได้เท่ากันทุกเครื่อง บางครั้งต้องยอมให้เสียงเกิน 0 dB แต่ไม่ให้พีค จนแดงค้างตลอด สำหรับผมเวลาใช้งานจริงไม่ค่อยมีเวลาเซ็ตเครื่องมาก(ส่วนใหญ่งานรีบ) เอาดังเป็นพอครับ
ที่ผมเขียนมาทั้งหมด หมายถึงการ balance gain ก่อนทำงานจริงครับ สัญญาณระดับ 0 dBu เอาไว้ใช้อ้างอิงว่าระบบของเรา ควรมีความดังประมาณไหนจึงจะพอดีเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่นถ้าเล่นในห้องประชุม 0 dBu ที่ mixer อาจเท่ากับ ระดับความเข้มเสียง(ความดัง)ที่ 75 dB SPL ณ จุดที่เรา control แต่ถ้าเล่นกลางแจ้ง 0 dBu ที่ mixer อาจดังถึง 90 dB SPL
ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้อง set gain ของเครื่องดนตรีทุกชิ้นไว้ที่ 0 dBu แต่ควรอยู่ที่ระดับ ใกล้เคียง คือตั้งแต่ -12 ถึง +6 dBu หรืออาจมากกว่านั้น ตามรูปในกรอบสี่เหลี่ยม
ทั้งหมดที่เขียนมาในกระทู้นี้ เราพูดถึงเรื่อง
Level คือระดับสัญญาณ ยังไม่ได้อภิปรายกันในแง่ของการปรับแต่ง
Toneหรือเนื้อเสียงแต่อย่างใด แต่Level ที่ดีได้ระดับมีผลกับเนื้อเสียงแน่นอนครับ
และการเซทระบบอย่างที่ผมได้กล่าวไปนั้น ไม่จำเป็นต้องทำที่หน้างานให้เสียเวลา สามารถทำเองที่บ้านได้โดยไม่ต้องเปิดเสียงรบกวนชาวบ้าน เพราะแค่เปิดเช็คสัญญาณและปรับปุ่มหมุนตรงนั้น เร่งตรงนี้แล้วให้จำค่าหรือมาร์คจุดที่เหมาะสมกับระบบของเราไว้แค่นั้น ทำครั้งเดียวไม่ต้องไปทำใหม่อีกถ้าเราไม่เปลี่ยนระบบใหม่
ที่หน้างานเราก็แค่หมุน ปุ่มต่างๆไปตำแหน่งที่เรากำหนดไว้แค่นั้น แทบไม่แตกต่างกับการ เซทระบบโดยทั่วไป ไม่เหมือนการปรับปต่ง EQ ที่เราจะต้องไปปรับที่สถานที่จริงเพื่อแก้ Room Acoustic หรือ gain before feedback ที่ stage monitor
จะพูดถึงการ Balance gain ขณะ mix ดนตรีสดอีกสักหน่อย gain ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น ตอนปรับหน้างาน ไม่ได้จำเป็นต้องเท่ากับ 0 dBu เช่น กระเดื่อง สแนร์ ก็อาจจะปรับไว้สัก 6 dBu hihat สัก -2 dBu ไมค์ สัก 0ถึง 3 dBu ขึ้นกับหูเราว่าจะกำหนดความดังและ gain ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นไว้ที่เท่าไร
เมื่อ gain นิ่งแล้ว เราก็ ปรับ EQ, gate,compressor และ Effect ให้ได้เสียงตามต้องการ ทุกชิิ้นดนตรี จากนั้น balance เสียงโดยรวมที่ channel fader ถ้ามันดังไปก็ลดที่ fader เบาไปก็เพิ่มที่ fader จะไม่ไปแตะ gain อีก เพราะที่ compressor gate เราได้ตั้ง threshole ไว้ให้เหมาะกับ gainตั้งแต่เริ่มต้นแล้วถ้าเราไปปรับใหม่ย่อมการทบกับ ค่าparameter พวก threshole, Attack, release ได้ นอกจากเราต้องการปรับgain และ thresholeใหม่
เมื่อเล่นรวมกันฟังเสียงโดยรวมว่าอันไหนขาดอันไหนเกินbalance ความดังได้ที่ fader ให้อยู่ใน Headroom ไม่ให้ clip ถ้ามีแนวโน้มว่าจะclip ก็ใส่ compressor หรือ limiter ไว้ที่ main output หรือ submix ทำเหมือนเรากำลัง mixdown เพลงเวลาทำ master เพลงในห้องอัด....เอาแค่เรื่องPa mixing balance คร่าวๆก่อนเดียวจะยาว อิอิ
และจากทฤษฎี เรื่องการ balance gain ใน mixer ควรปรับ gain แต่ละ channel ไว้ที่เท่าไรจึงจะไม่ทำให้ สัญญาณจากmain คลิป
หลักการก็มีอยู่ว่า
-Level ของเสียงเวลารวมกัน ไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบตรงๆเป็น linear เช่น 1dB+1dB=2dB
-แต่ คำว่า Decibel มันเป็น ค่าของเลข logarithm ตามสูตร
โดยที่
ดังนั้นการรวมกันต้องคำนึงถึง เรื่อง logarithmic function และ wave (phase/coherent) ด้วย
จากทฤษฎีการรวมกันของระดับความเข้มเสียงที่ มีลักษณะ incoherent(randome phase เช่น เสียง guitar กับ keyboard)
ถ้าระดับความเข้มเสียงเท่ากันทั้ง 2 ชิ้น ผลรวมจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 3 dB เช่น guitar 60 dB SPL keyboard 60 dB SPL ผลรวมจะเท่ากับ 63 dB SPL
ตามสูตร
Δ L = 10 × log n ; n = จำนวนแหล่งกำเนิดเสียงที่มีระดับความเข้มเสียงเท่ากัน(incoherent)
จากตัวอย่างด้านบน แทนค่าจะได้ 10 log 2 = 10(0.301)=3dB
นำมาประยุกต์ใช้กับ mixer ถ้าเรา set gain เครื่องดนตรี2ชิ้นไว้แต่channel เท่ากับ 0 dBu จะได้ผลรวมที่ main meter เท่ากับ 3dBu
ถ้า mixer มี 16 ch โดยแต่ละ ch set gain(PFL) โดยเฉลี่ยไว้ที่ 0 dBu จะได้ผลรวมที่ main meter เท่ากับ
10 log16 = 10 log(2
4)=4(10)log2 = 40(0.301) = 12.04 dBu
ถ้า mixer มี 32 ch ก็จะได้ 15 dBu
ในทางกลับกัน หากเรา ไม่อยากให้ mixer clip เราควรตั้ง gain
โดยเฉลี่ย แต่ละ channel ไว้ที่เท่าไร (target gain)
จะมีสูตรคือ Δ L = -10 × log n ; n = จำนวนแหล่งกำเนิดเสียงที่มีระดับความเข้มเสียงเท่ากัน(incoherent)
ถ้า mixer เรามี 16 ch จะได้ Δ L = -12 dBu
หมายความว่า ควร set gain โดยเฉลี่ยให้ ต่ำกว่า clip level อยู่ -12 dBu
ถ้า mixer เรามีclip level หรือ headroom +20 dBu เราควร set gain โดยเฉลี่ย (target gain) ไม่ควรเกิน
+8 dBu(20-12) เมื่อเราใช้งาน 16 ch พร้อมกัน
แต่ในความเป็นจริง ถ้า set gain ไว้เท่าๆหมด เสียงร้อง (vox mic) คงจะถูกกลบจากเสียงดนตรี
ดังนั้น วิธีแก้คือ จัดไมค์ร้อง ไว้อีก sub group
เช่น ถ้ามีไมค์ 4 ตัว เราสามารถปรับ gain แต่ละตัว (target gain) ได้สูงถึง +14dBu ใน submix นั้น
Δ L = -10 log4 = -6
ถ้า sub group มี headroom +20dBu จะได้ 20-6= +14dBu
แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงทฤษฎี การปฏิบัติจริงอาจไม่เป็นไปตามนั้น แต่ควรยึดหลักไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ จะได้รู้ว่าควรปรับไม่ควรปรับ gain ไว้ที่เท่าใด ระบบจะไม่clip
อ่านจนจบแล้วก็กลับมาดูรูปเดิม
จะเข้าใจว่าทำไม gain โดยทั่วไปไม่ควรเกิน +6 dBu
ซึ่งในรูปนี้ mixer มี Headroom +20 dBu
ถ้าเป็น mixerตัวนี้เป็น mixer รุ่นใหญ่ 32ch คำนวนΔ L = -15 นั่นคือ target gain แต่ละ ch คือไม่ควรเกิน +5 dBu(20-15) ถ้าใช้งานทุกช่องพร้อมกัน ซึ่งใกล้เคียงกับรูปที่ให้มา
ที่มาของสูตร
http://www.sengpielaudio.com/calculator-leveladding.htm