เสริมทัพอีกแรง เพื่อเป็นประโยช
BALANCE & UNBALANCE
โดยทั่งไปการนำสัญญาณในระบบเสียงที่นิยมใช้กันนั้น มี 2 แบบคือ
1. BALANCE SIGNAL
2. UNBALANCE SIGNAL
การนำสัญญาณทั้งสองแบบ แตกต่างกันที่ตัวนำที่ใช้นำสัญญาณ หรือ สายสัญญาณ
นั่นเอง สายบาลานซ์จะมีตัวนำ 3 เส้นในการนำสัญญาณ ส่วน อันบาลานซ์ ใช้แค่ 2 เส้น
1. ฺBALANCE แจ็คที่ใช้กับสัญญาณบาลานซ์ ที่นิยม มี 2 แบบ คือ
1.1 XLR ( EXTRA LOW RESISTANCE ) ซึ่งหมานถึง สัญญาณที่มีความต้านทานต่ำ
มาก ( เป็นผลให้สามารถเดินสายสัญญาณได้ไกล ๆ โดยปราศจากสัญญาณรบกวน )
โดยสัญญาณจากขาต่าง ๆ ที่ต่อเป็นมารตฐานสากล คือ
ขาที่ 1 กราวด์ หรือ shield
ขาที่ 2 สัญญาณ + หรือ HOT SIGNAL
ขาที่ 3 สัญญาณลบ หรือ COOL SIGNAL
2.2 1/4 TRS ( TIP RING SHEEVE ) ซึ่งหมายถึง จุด ต่อสามจุดของแจ็คแบบ TRS
โดย TIP จะเปรียบเสมือน ขาที่ 2 ของแจ็ค XLR, RING จะเหมือน ขาที่ 3 ของแจ็ค
XLR และ S็H EEVE จะเหมือนกับ ขาที่ 1 ของแจ็ค XLR
..สายสัญญาณแบบ BALANCE มีการแยกสัญญาณ + และสัญญาณ - ออกจากกัน โดย
มีสาย Shield เป็นกราวด์ที่เดินคู่ขนานมาเพื่อป้องกันสัญญาณรบการจากภายนอก ทำให้
สัญญาณที่ได้มีความสะอาด ใส เสียงสัญญาณรบกวน ( NOISE ) น้อย
2. UNBALANCE แจ็คที่นิยมใช้ในระบบเสียงสำหรับ UNBALANCE คือ แจ็ค PHONO ,
RCA การต่อสัญญาณแบบนี้จะรวมเอาสัญญาณ - หรือ COOL SIGNAL รวมไว้กับ
กราวด์ หรือ SHEEVE ทำให้แทนที สายกราวด์จะทำหน้าที่ป้องกันเสียงรบกวนอย่าง
เดียวเหมือน BALANCE ต้องมาทำหน้าที่นำสัญญาณด้วย ดังนั้นสัญญาณรบกวน จาก
สายกราวด์ จึงปะปนมากับ สัญญาณ - จึงทำให้การต่อแบบ UNBALANCE จะมีสัญญาณ
รบกวนมาก ถ้ายิ่งเดินสายไกล ๆ
จะเห็นได้ว่า การใช้สายแบบ UNBALANCE นั้นจะใช้เฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้สายไม่ยาวมาก
เช่น สายแจ็คกีตาร์ สายแจ็ค CD, TAPE ส่วนการเดินสายไกล ๆ เช่น สาย มัลติคอร์
หรือ สาย CROSSOVER จะนิยมใช้แบบ BALANCE มากกว่า